ปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตนักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดนักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิต...

ปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตนักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิต...

นักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตนักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิต...

นักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิต...

ปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิต...

ปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตนักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิต...

ปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตนักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิด...

ปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตนักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิต...

นักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิต...

นักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดนักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิดปอยผม "บีโธเฟน" เผยปริศนาซ่อนเร้นทางพันธุกรรม เบื้องหลังโรคตับคร่าชีวิตนักวิทยาศาสตร์ใช้ห้าปอยผมเรียงลำดับจีโนมของลุดวิกวอนบีโธเฟนหนึ่งในนักประพันธ์ดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ200ปีหลังเขาเสียชีวิตเพื่อวิเคราะห์ถึงโรคตับที่คร่าชีวิตเขาตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันพุธนักวิจัยกล่าวว่าจีโนมจากเส้นผมแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมต่อการเป็นโรคตับของบีโธเฟนและบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีการชันสูตรศพหลังเขาเสียชีวิตเมื่อปี1827ด้วยวัย56ปีเผยว่าเขาเป็นโรคตับแข็งซึ่งมักมีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานขณะที่ผลการวิจัยใหม่นี้บ่งชี้ว่าโรคตับของบีโธเฟนเกิดตากหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยด้านพันธุกรรมการติดเชื้อไวรัสและการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทริสทันเบ็กก์นักมานุษยวิทยากายภาพมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์และผู้นำของการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารCurrentBiologyนี้กล่าวว่าการกลายพันธุ์ของยีนPNPLA3และHFEของบีโธเฟนทำให้เขามีความเสี่ยงเป็นโรคตับเรื้อรังเพิ่มขึ้นราวสามเท่าเบ็กก์กล่าวต่อว่าปัจจัยความเสี่ยงดังกล่าวอาจไม่น่ากังวลในคนทั่วไปนักแต่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์โดยก่อนที่จะมีผลการศึกษาชิ้นนี้เป็นที่เข้าใจกันว่าการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นเพียงปัจจัยของโรคตับของบีโธเฟนเพียงปัจจัยเดียวเท่านั้นนอกจากนี้การพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบนจีโนมของบีโธเฟนเผยให้เห็นว่าบีโธเฟนอาจมีภาวะตับอักเสบไม่กี่เดือนก่อนเขาเสียชีวิตหรืออาจมีอาการก่อนหน้านั้นอีกทั้งนี้บีโธเฟนเริ่มสูญเสียการได้ยินเมื่ออายุ29ปีและสูญเสียการได้ยินอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ44ปีแต่เขายังคงสร้างบทประพันธ์ชั้นเลิศหลังจากนั้นโดยนักวิจัยยังยังไม่พบคำอธิบายทางพันธุกรรมต่อการสูญเสียการได้ยินของตำนานนักประพันธ์เพลงผู้นี้รวมถึงไม่พบหลักฐานของโรคที่เคยมีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าบีโธเฟนอาจเป็นเช่นโรคหินปูนเกาะกระดูกหูหรือโรคพาเจ็ตบีโธเฟนเป็นนักประพันธุ์มือทองผู้รังสรรค์ผลงานทั้งซิมโฟนีโซนาตาคอนเซอร์โตเพลงโอเปราและอื่นๆโดยมีผลงานอมตะอย่างเช่นซิมโฟนีหมายเลข5,หมายเลข6และหมายเลข9มูนไลต์โซนาตาและเฟอร์เอลีเซอในปี1802บีโธเฟนระบุในจดหมายถึงพี่ชายของเขาให้แพทย์เปิดเผยการสูญเสียการได้ยินและปัญหาสุขภาพอื่นๆของเขาหลังเสียชีวิต“ให้ได้มากที่สุดอย่างน้อยจนกว่าโลกจะยอมรับฉัน”เบ็กก์หัวหน้าทีมวิจัยในครั้งนี้กล่าวว่าการศึกษาครั้งนี้มีคุณค่านอกจากจะเป็นการทำตามความต้องการของตัวบีโธเฟนเองในการเข้าใจสุขภาพของเขาแล้วยังเป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงของประวัติชีวิตของเขาด้วยทั้งนี้นักวิจัยได้วิเคราะห์ปอยผมจำนวนแปดปอยที่ถูกเก็บรักษาในสหรัฐฯและยุโรปและพบว่ามีปอยผมห้าปอยที่น่าจะเป็นของบีโธเฟนโดยปอยผมStumpffLockเป็นปอยผมที่ถูกเก็บรักษาดีที่สุดและถูกใช้เรียงลำดับจีโนมในครั้งนี้โจฮานเนสเคราส์ผู้อำนวยการสถาบันMaxPlanckInstituteforEvolutionaryAnthropologyในเยอรมนีผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่าการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากปอยผมนี้เป็นไปอย่างลำบากมากโดยทีมงานต้องเก็บดีเอ็นเอจากเส้นผมที่ยาวกว่า2เมตรจากปอยผมStumpffLockนี้ผลการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงสาเหตุของปัญหาระบบทางเดินอาหารโรคโครห์นหรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรังงานวิจัยยังทำให้ค้นพบข้อมูลครอบครัวบีโธเฟนโดยข้อมูลพันธุกรรมของบีโธเฟนและญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ห้าคนเผยว่าเคยมีเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์นอกสมรสทางฝั่งพ่อของบีโธเฟนในช่วงหลายรุ่นก่อนที่นักประพันธ์ผู้นี้จะเกิด...